ประวัติ Warren Buffett ชีวิต เทคนิค และความสำเร็จ
คงไม่มีใครไม่รู้จัก หรือไม่เคยได้ยินชื่อของคุณปู่วอร์เรน บัฟเฟตต์ เขาคือต้นแบบของนักลงทุนสายเน้นคุณค่า(VI)ที่ประสบความสำเร็จสูงสุดในโลกการลงทุนก็ว่าได้ ดังนั้นบทความนี้จะพามาดูปรัชญาและกลยุทธ์การลงทุนของคุณปู่ว่า ความลับของความสำเร็จของเขาคืออะไร? จนทำให้เขากลายเป็นดั่งตำนานที่ยังมีชีวิตของวงการนี้
วอร์เรน บัฟเฟตต์เกิดที่โอมาฮาในปี 1930 เขามีความสนใจในโลกธุรกิจและการลงทุนตั้งแต่อายุยังน้อยรวมถึงในตลาดหุ้น บัฟเฟตต์เริ่มการศึกษาที่โรงเรียนวอร์ตันที่มหาวิทยาลัย Pennsylvania ก่อนที่จะย้ายกลับไปศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัย Nebraska ซึ่งเขาได้รับปริญญาตรีสาขาบริหารธุรกิจ ต่อมาบัฟเฟตต์ไปเรียนที่ Columbia Business ซึ่งเขาได้รับปริญญาด้านเศรษฐศาสตร์ และที่นี่ทำให้เขาได้เจอกับตำนานนักลงทุนอย่าง เบนจามิน เกรแฮม ชายที่เป็นดั่งอาจารย์ของเขา ที่เราเคยเขียนถึง
จากนั้นเขาเริ่มต้นอาชีพในฐานะพนักงานขายการลงทุนในช่วงต้นทศวรรษ 1950 และก่อตั้งบริษัทบัฟเฟตต์ แอสโซซิเอทส์ในปี 1956 ไม่ถึง 10 ปีต่อมาในปี 1965 เขาได้ควบคุมเบิร์กเชียร์ แฮททาเวย์ และในเดือนมิถุนายน 2006 บัฟเฟตต์ประกาศแผนการที่จะบริจาคทรัพย์สมบัติทั้งหมดเพื่อการกุศล จากนั้นในปี 2010 เขาและบิล เกตส์ได้ประกาศว่าพวกเขาได้ก่อตั้งแคมเปญการกุศล
ปรัชญาการลงทุนของบัฟเฟตต์
แนวคิดการลงทุนของ วอร์เรน บัฟเฟตต์ นั้นได้รับอิทธิพลมาจากอาจารย์ที่เขาเคารพ นั่นคือ เบนจามิน เกรแฮม นักลงทุนที่เน้นคุณค่ามองหาหลักทรัพย์ที่มีราคาต่ำ อย่างไม่สมเหตุสมผลตามมูลค่าที่แท้จริงของมัน ทีแรกวิธีคิดหรือปรัชญาการลงทุนของเบนจามิน เกรแฮม อาจไม่เป็นที่ยอมรับในระดับสากลในการกำหนดมูลค่าที่แท้จริงของสินทรัพย์นั้น ๆ เพราะการกำหนดมูลค่าในมุมมองของพวกเขามักประเมินโดยการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานของบริษัท
เมื่อเขาได้ซึมซับความรู้จากเบนจามิน เกรแฮม มาพอแล้ว วอเรนน์ บัฟเฟตต์ก็ใช้แนวทางการลงทุนแบบเน้นคุณค่านี้ไปอีกระดับหนึ่ง ทฤษฎีนี้แนะนำว่า หุ้นซื้อขายที่มูลค่ายุติธรรมเสมอ ซึ่งทำให้นักลงทุนซื้อหุ้นที่ตีราคาต่ำเกินไปหรือขายในราคาที่สูงเกินจริงได้ยากขึ้น ซึ่งเขาจะประเมินจาก 6 หัวข้อดังต่อไปนี้
1. ผลการดำเนินงานของบริษัท
บางครั้งผลตอบแทนจากการลงทุน (ROE) จะเรียกว่าผลตอบแทนจากการลงทุนของผู้ถือหุ้น เผยให้เห็นอัตราที่ผู้ถือหุ้นได้รับรายได้จากหุ้นที่ตัวเองถือ ซึ่งบัฟเฟตต์มองที่ ROE เสมอ เพื่อดูว่าบริษัททำผลงานได้ดีอย่างสม่ำเสมอหรือไม่เมื่อเทียบกับบริษัทอื่นๆ ในอุตสาหกรรมเดียวกัน
ROE คำนวณดังนี้:
ROE = รายได้สุทธิ ÷ ส่วนของผู้ถือหุ้น
การดู ROE ในปีที่แล้วไม่เพียงพอ นักลงทุนควรดู ROE ในช่วง 5 ถึง 10 ปีที่ผ่านมาเพื่อวิเคราะห์ผลการดำเนินงานในอดีต
2. หนี้ของบริษัท
อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) เป็นอีกหนึ่งคุณลักษณะสำคัญที่เขาพิจารณาอย่างรอบคอบ เขาชอบที่จะเห็นบริษัทมีตัวเลขหนี้จที่น้อย เพื่อที่การเติบโตของรายได้จะถูกสร้างขึ้นจากส่วนของผู้ถือหุ้น ซึ่งต่างจากการยืมเงิน
อัตราส่วน D/E คำนวณได้ดังนี้
อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น = หนี้สินรวม ÷ ส่วนของผู้ถือหุ้น
อัตราส่วนดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงสัดส่วนของผู้ถือหุ้นและหนี้สินที่เป็นแหล่งเงินทุนให้กับบริษัทในการจัดหาสินทรัพย์ และตัวเลขอัตราส่วนดังกล่าวที่สูงขึ้น นั่นหมายถึงบริษัทมีแหล่งเงินทุนมาจากหนี้สินมากกว่าส่วนของผู้ถือหุ้น ระดับหนี้สินที่สูงเมื่อเทียบกับส่วนของผู้ถือหุ้นอาจส่งผลให้กำไรมีความผันผวนจากภาระดอกเบี้ยจ่ายจำนวนมาก เพื่อการประเมินที่รัดกุมยิ่งขึ้น บางครั้งนักลงทุนก็เลือกใช้หนี้สินระยะยาวแทนหนี้สินรวมในการคำนวณข้างต้น
3. อัตรากำไร
ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทไม่ได้ขึ้นอยู่กับการมีอัตรากำไรที่ดีเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องด้วย อัตรากำไรนี้คำนวณโดยการหารกำไรสุทธิด้วยยอดขายสุทธิ สำหรับตัวบ่งชี้ที่ดีของอัตรากำไรในอดีต นักลงทุนควรมองย้อนกลับไปอย่างน้อยห้าปี ซึ่งอัตรากำไรที่สูงบ่งชี้ว่าบริษัทดำเนินธุรกิจได้ดี แต่อัตรากำไรที่เพิ่มขึ้นหมายถึงการจัดการมีประสิทธิภาพ และประสบความสำเร็จอย่างมากในการควบคุมค่าใช้จ่าย
4. บริษัทเป็นบริษัทมหาชนหรือไม่?
โดยทั่วไปแล้วเขาจะพิจารณาเฉพาะบริษัทที่มีอายุไม่ต่ำกว่า 10 ปีเท่านั้น เป็นผลให้บริษัทเทคโนโลยีส่วนใหญ่ที่มีการเสนอขายหุ้นแก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาจะไม่ได้รับความสนใจจากวอเนน์ บัฟเฟตต์ เขาบอกว่าเขาไม่เข้าใจกลไกที่อยู่เบื้องหลังบริษัทเทคโนโลยีหลายแห่งในปัจจุบัน และจะลงทุนในธุรกิจที่เขาเข้าใจอย่างถ่องแท้เท่านั้น การลงทุนแบบเน้นคุณค่าจำเป็นต้องมีการระบุบริษัทที่ผ่านการทดสอบมาโดยตลอดแต่ปัจจุบันถูกตีราคาต่ำเกินไป
5. การพึ่งพาสินค้าโภคภัณฑ์
คำถามนี้เป็นแนวทางที่ตีวงกลุ่มธุรกิจประเภทนี้ให้แคบลง เขาต้องการหาว่า มีกี่บริษัทที่พึ่งพาสินค้าโภคภัณฑ์เพียงอย่างเดียว เช่น น้ำมันและก๊าซ แต่ถ้าหากบริษัทไม่ได้มีอะไรที่แตกต่างไปจากบริษัทอื่นในอุตสาหกรรมเดียวกัน เขามักจะมองหาความได้เปรียบเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ซ่อนอยู่ในธุรกิจนั้น ๆ
6. ราคาถูกไหม?
มันคือการพิจารณาว่าบริษัทเหล่านั้นถูกตีราคาต่ำเกินไปหรือไม่นั้น เป็นส่วนที่ยากที่สุดในการลงทุนแบบเน้นคุณค่า และเป็นทักษะที่สำคัญที่สุดของบัฟเฟตต์ เพราะในการตรวจสอบสิ่งนี้ นักลงทุนต้องกำหนดมูลค่าที่แท้จริงของบริษัท โดยการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานทางธุรกิจจำนวนหนึ่ง ซึ่งรวมถึงรายได้ และสินทรัพย์ และมูลค่าที่แท้จริงของบริษัทมักจะสูงกว่า
เมื่อเขากำหนดมูลค่าที่แท้จริงของบริษัทโดยรวมแล้ว เขาจะเปรียบเทียบกับมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดในปัจจุบัน มูลค่ารวมหรือราคาในปัจจุบัน
ฟังดูง่ายใช่มั้ย อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จของเขานั้นขึ้นอยู่กับทักษะที่ไม่มีใครเทียบในการกำหนดมูลค่าที่แท้จริงได้อย่างแม่นยำ แม้ว่าเราจะสรุปเกณฑ์บางอย่างได้ แต่เราไม่มีทางรู้แน่ชัดว่าเขาได้รับความเชี่ยวชาญที่แม่นยำในการคำนวณมูลค่าได้อย่างไร ดังนั้นนี่เป็นแนวทางที่ชวนให้เราลองศึกษาเผื่อว่าวันหนึ่งเราจะค้นพบมูลค่าที่แท้จริงของตัวเอง