เติ้งเสี่ยวผิง ผู้เปลี่ยนจีนคอมมิวนิสต์สู่มังกรเศรษฐกิจ
เติ้ง เสี่ยวผิงนักการเมืองชาวจีนที่เป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่ของสาธารณรัฐประชาชนจีน ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1978 จนกระทั่งเขาเกษียณอายุในปี ค.ศ. 1992 ภายหลังจากประธานเหมา เจ๋อตงถึงแก่อสัญกรรมในปี ค.ศ. 1976 เติ้งได้ค่อย ๆ ลุกขึ้นสู่อำนาจและนำประเทศจีนผ่านชุดการปฏิรูปเศรษฐกิจ-ตลาดที่กว้างขวาง ซึ่งทำให้เขาได้มีชื่อเสียงในฐานะ “ผู้ออกแบบประเทศจีนสมัยใหม่” ฉะนั้นบทความนี้เราจะมาดูนโยบายเติ้งเสี่ยวผิงที่เปลี่ยนมังกรหลับให้กลายเป็นมังกรฝงาดในปัจจุบัน
ภายหลังการสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีนเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 1949 เหมา เจ๋อตุง ผู้นำประเทศจีน ได้ดำเนินนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจที่ยึดตามแนวทางสังคมนิยม เพื่อให้สังคมจีนกลายเป็นสังคมนิยมแบบ เต็มรูปแบบ เหมาเจ๋อตงปกครองประเทศ ด้วยการวางนะโยบาย The Great Leap Forward ที่เป็นระบบคอมมูน และระบบเศรษฐกิจที่รัฐวางแผนการผลิตเต็มตัว ไม่ค้าขายกับประเทศไหน รวมถึงนโยบายปฏิวัติวัฒนธรรม จนสร้างหายนะให้คนในประเทศ แต่หลังจากที่เหมาเสียชีวิต
นโยบายเปิดประตู
เติ้งเสี่ยวผิง ก็มีอำนาจและได้เข้ามาปฏิรูปแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจใหม่ เพื่อยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน และเศรษฐกิจของประเทศให้พัฒนาก้าวหน้าทัดเทียมประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ โดยเริ่มจากการ ดำเนินการปฏิรูปประเทศตามนโยบายสี่ทันสมัย โดยมีกลยุทธ์ในการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศด้วยการดำเนินนโยบายเปิดประตู (open door policy)
ซึ่งเป็นการเปิดประเทศเพื่อส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ โดยการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ อนุญาติให้ ประเทศต่าง ๆ รวมทั้งประเทศทุนนิยมเข้าไปตั้งโรงงานหรือลงทุนร่วมกับจีน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อผลิตสินค้า ส่งออกไม่ใช่เปิดประเทศจีนให้กับสินค้าต่างชาติ รัฐบาลได้เริ่มเปิดเขตเศรษฐกิจพิเศษขึ้นในค.ศ. 1979 มีทั้งหมด 4 เขต คือเซินเจิ้น จูไห่ ซานโถว และ เซี่ยหมิน โดยทั้ง 4 เขตนี้อยู่ใกล้ชายฝั่งทะเลของมณฑลกว่างตง และมณฑลฝูเจี้ยน
แต่จุดที่จะขอพูดถึงคือ เซินเจิ้น เพราะนับได้ว่า เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษที่มีขนาดใหญ่ที่สุดและมีบทบาทสําคัญอย่างมากในการปฏิรูปเศรษฐกิจของประเทศจีน เดิมเป็นหมู่บ้านเล็กๆ ติดขายแดนฮ่องกง เติ้งเสี่ยวผิง ก็ใช้ประโยชน์โดยการไปชักชวนนักลงทุนขากฮ่องกงให้มาเปิดโรงงานที่นี่ เพราะมีค่าแรงราคาถูก นั่นนำไปสู่โรงงาน ภายในเวลาไม่นาน และเซินเจิ้นก็เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งสร้างรายได้ให้แก่รัฐบาลกลางกว่า 200,000 ล้านหยวนต่อปี
เมื่อเซินเจิ้นประสบความสำเร็จ เติ้งเสี่ยวผิงก็เชิญนักข่าวมาทำข่าวเป็นอันประกาศศักดาให้มลฑล หรือจังหวัดอื่น ๆ ตื่นตัวแบบเซินเจิ้น ซึ่งมันก็ได้ผลเพราะทุกที่อยากปฏิรูปแบบเซินเจิ้น จนเกิดการแข่งขันกันดึงดูดนักลงทุน และนับแต่นั้นภาคเศรษฐกิจจีนก็หมุนเวียนเป็น Cycle แบบสมบูรณ์ ชาวบ้านเริ่มมีกิน ความอดอยากเริ่มจางหายไปทีละนิด จากนั้นเติิ้งเสี่ยวผิงก็ยังมีนโยบายที่เรียนว่า “นโยบายสี่ทันสมัย”
นโยบายสี่ทันสมัย
หลังการปฏิวัติวัฒนธรรม และพัฒนาประเทศแบบพึ่งพาตนเองอย่างเข้มงวดของเหมา ประเทศจีนประสบกับปัญหาทุกด้าน โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจหยุดชะงัก ผลผลิตภาคการเกษตรตกต่ำ เกิดทุพภิกขภัย ประชาชนเสียชีวิตเพราะความอดอยาก การถูกทำร้ายจนเสียชีวิต จนในช่วงปลายปี 1978 เติ้งเสี่ยวผิงเล็งเห็นถึงปัญหาเศรษฐกิจที่ต้องเร่งปฏิรูป และฟื้นฟูประเทศอย่างเร่งด่วน จึงเสนอให้ใช้นโยบาย 4 ทันสมัย เพื่อดำเนินการพัฒนาประเทศในด้านต่างๆรวมถึงประกาศ นโยบายปฏิรูปและเปิดประเทศจีน ประกอบด้วย
1.เกษตรกรรม
2.อุตสาหกรรม
3.วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี
4.การทหาร
นโยบายทั้ง 4 นี้ได้ช่วยยกระดับการผลิตภายในประเทศให้เพิ่มขึ้นแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เติ้งเสี่ยวผิงยังเน้นการเปิดเสรีทางการค้า และลดข้อจำกัดการค้า การลงทุน ภายใต้เศรษฐกิจ เสรีนิยมใหม่ รวมถึงมีการเปิดประเทศเพื่อรองรับจีนให้ทันสมัยทัดเทียมกับประเทศตะวันตก และเพื่อพัฒนาจีนจากประเทศด้อยพัฒนาเป็นประเทศพัฒนาระดับกลาง แต่การกระทำของเขาใช่ว่าเป็นการเปลี่ยนแบบฉับพลัน แต่เป็นการค่อยเป็นค่อยไป เขาไม่ลงโทษผู้กระทำผิดทันที และรับฟังผู้อื่นจนชาวตะวันตกตั้งฉายาให้ว่า เติ้งเสี่ยวผิง คือ “นักทดลอง” ทั้งทางการตลาด การเมือง และการปกครอง
หนึ่งในตัวอย่างของเติ้งเสี่ยวผิงที่เขารับฟัง และเปิดรับผู้อื่นก็คือ เหตุการณ์หมู่บ้านเสี่ยวกัง เนื่องจากตอนนั้นหมู่บ้านทั่วจีนได้รับผลกระทบจากนโยบายก้าวกระโดด และการทำคอมมูนที่ต้องส่งผลผลิตให้รัฐตามที่รัฐกำหนดหากทำไม่ได้จะถูกลงโทษทำให้ไม่มีใครชื่นชอบนโยบายนี้ หนำซ้ำบางหมู่บ้านที่มีผลผลิตไม่ทันก็โกหกตัวเลขผลผลิตให้สูงไว้ก่อน เพื่อความปลอดภัย แน่นอนว่า พวกเขาก็ได้ผลตอบแทนที่ไม่เป็นทำ นั่นทำให้คนในหมู่บ้านต่าง ๆ ทนไม่ไหว และหนึ่งในหมู่บ้านนั้นก็คือ หมู่บ้านเสี่ยวกัง คนในหมู่บ้านตกลงกันว่า แต่ละบ้านจะส่งผลผลิตเข้ากองกลางตามที่ตกลงกันไว้ก่อน แต่ส่วนที่ปลูกได้เกินจะเก็บไว้กินกันเองในแต่ละบ้าน ดังนั้น ใครเพาะปลูกได้ผลผลิตมากก็จะมีเก็บไว้กินเอง นั่นจึงทำให้บ้านแต่ละหลังตั้งใจสร้างผลผลิตให้ได้มาก ๆ เพื่อส่งให้รัฐ และที่เหลือเขาจะเก็บไว้ทานเอง นับว่าเป็นการแก้ปัญหาที่ดี และเรื่องนี้ก็ไปถึงหูเติ้งเสี่ยวผิง ซึ่งการกระทำแบบนี้นับว่าผิดกฎหมาย แต่เติ้งเสี่ยวผิงไม่ได้ลงโทศพวกเขา หนำซ้ำยังบอกว่า “น่าสนใจ” เขาปล่อยให้ชาวบ้านทำแบบนี้ เพื่อทดสอบดูว่า ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร สุดท้ายผลผลิตของหมู่บ้านนี้ก็มีผลผลิตสูงกว่าที่อื่น ๆ จนสุดท้ายเติ้งเสี่ยวผิงก็นำแนวทางการสร้างผลผลิตของหมู่บ้านนี้ไปเป็นโมเดลให้หมู่บ้านทั่วประเทศจีน สุดท้ายผลผลิตเพิ่มสูงขึ้นแบบไม่เคยเป็นมาก่อน ความอดอยากจึงค่อย ๆ หายไปจากประชาชนนั่นเอง
นี่คือนโยบายเบื้องต้นของเติ้งเสี่ยวผิง ที่เปลี่ยนจากมังกรที่หลับไหลจากการปฏิวัติในยุคของเหมา เจ๋อตง ให้กลายเป็นมังกรผงาด จนสามารถสร้างรากฐานทางเศรษฐกิจ และความยิ่งใหญ่ให้กับประเทศจีนมาจนถึงปัจจุบัน
ข้อมูลจาก